ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทิศทางของศาสนา

๒ พ.ค. ๒๕๕๒

 

ทิศทางของศาสนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้ไม่นาน วันนี้เอานิดหน่อยพอเพราะเมื่อวาน เมื่อวานมันฮึดมากเลยนะ มันฮึดมากเพราะว่ามันไอ้นั่น มันอะไร ไอ้ที่เขาพูดนี่มันอยู่วงในไง เราพูดเปรียบเทียบจากนี่มาเลยล่ะ อย่างว่าเมื่อวานมันฮึด มันฮึดขึ้นมาเพราะว่าเราอยู่ในวงการศาสนา ในวงการศาสนาเราดูตั้งแต่มหายาน อย่างทิเบต ทิเบตพอโดนจีนเข้าไปผนวกปั๊บ ทิเบตเขาทิ้งถิ่น เขาไปอเมริกาไปยุโรป แล้วก็ไป เวลาเขาพูดภาษาอังกฤษน่ะเห็นไหม

พวกผู้ใหญ่พวกทางยุโรปเขาพูดภาษาอังกฤษเขาเข้าศาสนามาก นี่เขาเข้าศาสนาทางวิชาการ เพราะพวกนี้เขาจะลึกซึ้งเขาจะทุ่มเท สังเกตได้ไหม พวกติงนังพวกอะไรที่ไปฝรั่งเศส พวกฝรั่งจะเข้าเยอะมากเลย เพราะพวกนี้เขาเข้าไปฝึกสติ พูดประสาเรานะ มันเป็นแค่พื้นฐานเท่านั้นน่ะ

ฉะนั้นเมื่อวานที่มา พวกที่มาเขาเรียนปริญญาเอกหมดไง แล้วเป็นคณะเลย เป็นห้องเลย แล้วพอพูดเขาพูดกับเราเห็นไหม พอบอกเขาบอกปริญญาเอกพุทธศาสน์บัณฑิต สบายมากล่ะพอเราพูดไปปั๊บเราพูดคำเดียวเขารู้หมดเลย ฉะนั้นที่เขามาก็เพราะว่ามันเป็นวันเกิดของอาจารย์เขา วัดโพธิ์ท่าเตียนอะไรน่ะ วัดโพธิ์น่ะ เป็นวันเกิดอาจารย์เขา พอวันเกิดเขาเขามาทำบุญด้วยกัน

เราจะบอกว่าทางวิชาการ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วเขาไปอยู่กับพวกพระที่สอนมหาจุฬาฯ ก็เป็นทางวิชาการของศาสนา ทีนี้พอทางวิชาการทางศาสนา พวกนี้เขาจะเข้าใจเรื่องศาสนาพุทธทางวิชาการ พอทางวิชาการพวกนี้มันจะเป็นกลุ่มใหญ่ เราจะบอกเรามองไปเรามองถึงสังคมเรามองถึงศาสนา

ถ้าเมืองไทยนะมหาจุฬาฯ มหามกุฎฯ ตั้งพวกทางวิชาการมา มันจะสร้างสังคมเราให้เหมือนทาง.. สังคมมันจะออกมาเหมือนชาวทิเบต เพราะเขามีเป้าหมาย เป้าหมายว่าปี ๒๕๕๓ ๒๕๕๘ อะไรนี่จะให้ชาวพุทธเราเข้าใจถึงศาสนา เขาจะเผยแผ่ เขาจะพิมพ์หนังสือแจก

คือว่าเขาจะเผยแผ่ทางวิชาการให้ประชาชนเข้าใจเรื่องศาสนามากขึ้น ทีนี้พอเข้าใจเรื่องศาสนามากขึ้น มันก็เข้าใจเรื่องศาสนาทางวิชาการ ฉะนั้นพอมาเห็นไหม เราถึงอัดเข้าไป อัดเข้าไปเลย อัดเข้าไปเพราะว่าอะไร เพราะว่าแก่นของศาสนา กรรมฐานแก่นของศาสนาคือการภาวนา

พระพุทธเจ้าเกิดมาจากการภาวนา พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้ามาเพราะการภาวนา คือความรู้จริงไง แต่อย่างนั้นมันรู้ตามประเพณีไง มันจะเข้าถึงตามประเพณี ทีนี้พอตามประเพณี เราถึงถามกลับเลย เพราะทุกคน อย่างเช่นดูสิ พวกที่มหาจุฬาฯ ที่เขาทำดอกเตอร์กันเขามาหา เป็นพระมาหาเยอะมาก ทำวิทยานิพนธ์ จะให้เป็นที่ปรึกษาเขา เขาพูดอย่างนี้

“หลวงพ่อพูดมาให้ผมเข้าใจสิ” ผมทำวิทยานิพนธ์ด้วยคือเขาอยากได้ผลงานของเขาด้วย และถ้าพูดถึงผมฟังแล้วผมก็อยากปฏิบัติด้วย คือเขาพยายามจะให้เราพูด เพราะเขารู้ทางวิชาการอยู่แล้วใช่ไหม เขาคิดทางวิชาการของเขาพร้อม พื้นฐานของเขาพร้อม ถ้าเขา ปิ๊ง! เลยเขาจะเข้าถึงการปฏิบัติเข้าถึงอริยภูมิได้ อริยภูมิ

พูดมาสิพูดมาให้ผมเข้าใจสิพูดมาสิ แล้วเราก็สงสารนะ เราสงสารเรารู้อยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าทางวิชาการมันทางการศึกษาทางการวิจัยเราจะสามารถเข้าใจได้ เราก็บอกเขาเพื่อผลประโยชน์แค่นี้ ทีนี้พอเขาได้ประโยชน์แล้ว เขาได้ประโยชน์แล้วเพราะเขามาทีหนึ่งอัดเทป ๓-๔ ตัวแนะ

เขาจะถามปัญหาเขาอัดเทปเลยเพราะเขาจะเอาเทปไปทำวิทยานิพนธ์ไง ตรงนี้คือผลประโยชน์ของเขาเต็มๆ เลย แต่พอเขาได้แล้วเพราะพอเขาพูดกับเราเพราะเราพูดแล้ว เขามันแบบว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงไง พอเราพูดเขาได้หลักแล้ว ตรงนี้ผลประโยชน์เขามหาศาลแล้ว เพราะที่เขาหาเขาหาตรงนี้ไง หาเพื่อเป็นประเด็นเพื่อจะเอาไปเขียนวิทยานิพนธ์ไง แต่พอเขาได้แล้ว เรารู้ไงเรามองคนเวลามาเรามองคน

ถ้าคนนะอย่างเมื่อวานพูดตอนเย็น ทุกคนบอกเลยพระพุทธเจ้าลำเอียง พระพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์แต่พระพุทธเจ้าเอาเฉพาะคนนั้นทำไมไม่สอนเราล่ะ เห็นไหม ทำไมไม่สอนเรากิเลสมันเกิดแล้ว ทิฏฐิมานะว่าเราสำคัญ พระพุทธเจ้าต้องสอนเรา เราถึงว่า เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม สงสัยเรื่องนิพพาน เป็นมหานะ สงสัยเรื่องนิพพานมาก

ถ้ามีอาจารย์องค์ใดชี้บอกเราได้ เราจะถวายชีพกับอาจารย์องค์นั้นเลย อาจารย์ต้องเป็นอาจารย์ของเรา พอหลวงปู่มั่นเทศน์จบปั๊บ ที่สงสัยอยู่มันหมดแล้ว แล้วต่อไปนี้ทำอย่างไร เอาตายเข้าว่า เอาตายเข้าว่าปั๊บเราเอาตายเข้าว่าทิฏฐิมานะไม่มี คือเอาตายเข้าว่าคือเราอยากได้อยากรู้อยากเป็น แต่ถ้าบอกว่าทำไมหลวงปู่มั่นไม่มาสอนเรา ให้หลวงปู่มั่นธุดงค์มานะมาสอนเราโดยเฉพาะเลย ทิฏฐิมันเกิดเลย กิเลสมันไม่รับ ถ้าพูดถึงมันมีทิฏฐิอย่างนี้มันจะเป็นไปได้

ทีนี้ย้อนกลับมาคำว่าดูคน ดูคนที่เขามาเห็นไหม เขาได้อยู่แล้วใช่ไหม ทางวิชาการที่เขาจะไปทำวิทยานิพนธ์ เขาได้แล้วแต่เขามาบ่อยมากตอนนั้นน่ะมาจนเรารำคาญวันหนึ่ง ๒ รอบ ๓ รอบ พอมาถึงนะหลวงพ่อพูดให้ฟังสิ อัดเทปทุกทีเลย อ้างว่าจะทำวิทยานิพนธ์ แต่เรารู้ เรารู้ว่าเขาคิดว่ามันมีเป้าหมายถึงอริยภูมิได้

พออริยภูมิได้เขาพยายามจะให้เราพูดไง เพื่อจะให้เราชี้เป้าเข้าหาอริยภูมิไง พูดมาสิ พูดมาสิ จนเราสงสารก็สงสารนะแต่เราว่าไอ้นี่เป็นทิฏฐิเราถึงบอกว่า เฮ้ย “นกกับปลามันคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” มันช็อคเขาเลยนะ เออใช่ๆ ใช่ เบาไปเลยนะ

นกกับปลาน่ะมันคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกในภูมิของสมมุติ กับในภูมิของอริยภูมิ มันไม่ใช่อันเดียวกันหรอก มันจะพูดให้มึงรู้มันเป็นไปไม่ได้หรอก พออย่างนั้นปั๊บแล้วหยุดเลย เขาบอกเขาพูดอย่างนี้บอกว่าหลวงพ่อพูดสิ ถ้าได้ผมจะอยากปฏิบัติด้วยคือตัวเองอยากปฏิบัติน่ะ

ถ้าอยากปฏิบัตินะมึงไม่เรียนมาถึงดอกเตอร์หรอก ถ้าอยากปฏิบัตินะมันต้องหาทางออกแล้ว ไอ้นี่มันแบบว่าเหยียบเรือสองแคมมาตลอดไง คนถ่างขาด้วยสองขามาตลอด ทีนี้ตอนนี้พูดถึงกรณีเมื่อวานที่เราฮึดๆ เพราะตรงนี้ ตรงที่ว่าถ้ากลุ่มนี้ จบปริญญาเอกดอกเตอร์ของพุทธศาสนา แล้วรวมกลุ่มกันอยู่กับอาจารย์สอน อาจารย์ของมหามกุฎฯ มหาจุฬาฯ สังคมไทยจะมีพวกนักวิชาการที่เป็นหลักของชาวไทยตรงนี้

ฉะนั้นพอมาหาเรา เราใส่เลย เหมือนกัน เขาบอกเขาอยากจะพ้นทุกข์เหมือนกัน เขาถามหมดเลยนะ เขาถามว่าพระอรหันต์ครูบาอาจารย์สามารถจะอะไรนะจะแบบว่าส่งกระแสจิตช่วยให้จิตมันภาวนาง่ายได้ไหม เราบอกเอาโทรศัพท์มาสิเดี๋ยวกูโทรให้ เอาโทรศัพท์มา อ้าว โทรศัพท์ โทรศัพท์มันไม่ได้หรอก แล้วถ้าโทรศัพท์คนละคลื่นมันได้ไหม

เราจะบอกว่าภูมิของปุถุชนน่ะ อย่างเราเราปฏิบัติ เราภูมิของเรามันเหมือนกับคลื่นของเราหรือโทรศัพท์ของเรา ไม่มีถ่าน แบตฯ ไม่มี หมายเลขไม่มี ทุกอย่างไม่มี ใครส่งมาให้มึง จิตใจของพวกเราที่ปฏิบัติใหม่ๆ ปุถุชนมึงมีอะไร เรามีสิทธิจะไปรับภูมิรู้อันนั้น นี่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ เราพูดถึงข้อเท็จจริงให้เขาฟัง เขาด็อกเตอร์

พูดถึงข้อเท็จจริงอันนี้แล้วมึงคิดเองว่ามึงจะรอรับ รอรับ มึงก็รอรับแต่ไอ้นั่นน่ะ ไอ้เสียงรูปรสกลิ่นเสียงทางโลกไง คนคิดกัน คิดกันไปเองเห็นไหม เราบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงถ้าไปหาครูบาอาจารย์ไปฟังเทศน์ มันเป็นมงคล ๓๘ ประการ ได้เห็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่๔

การเห็นสมณะ เราเห็นว่าเป็นมงคลกับเรา มงคลชีวิตใช่ไหม พอมงคลชีวิตเราจะขวนขวาย เราจะมีการกระทำ เราจะพัฒนาตัวเองขึ้น อันนี้ต่างหากมันจะไปรับได้ไง ถ้าเราขวนขวายพัฒนาตัวเองหมายถึงว่าโทรศัพท์เราเริ่มจะมีแบตฯ โทรศัพท์เราเริ่มจะมีหมายเลข จริงไหม เพราะจิตใจเราพัฒนา จิตใจเราจะขึ้นไปรับ แต่ถ้ามึง มึงกระดิกตีนเลยนะ ส่งจิตมาสิ ส่งจิตมาสิ ทิฏฐิกิเลสมันเป็นอย่างนี้

ทีนี้เราก็ใส่ พอใส่ปั๊บ เขาบอกพอสุดท้ายแล้วมันก็ไม่พ้นจากลองดูจิต เขาถามเอง แล้วดูจิตล่ะ เราบอกว่าดูจิตมันก็เหมือนกล้องวงจรปิดไง กล้องวงจรปิดมันได้อะไรขึ้นมา แล้วพอมาดูจิตปั๊บ พอเขาดูจิตแสดงว่าพวกนี้ไปนั้นมา เพราะทางวิชาการมันเป็นกระแสไปหมดใช่ไหม

พอดูจิตปั๊บ เราถามกลับเลย เซนมาจากไหน! เซนมาจากไหน! เจ้าของดูจิตคนที่สอนดูจิตมาจากไหน ตอบไม่ได้ เขาก็บอกว่าด็อกเตอร์ทั้งหมด ช่วยหน่อย รีบๆ ช่วยกันใหญ่เลย เขาก็บอกว่ามาจากสังฆราชองค์ที่ ๖ แล้วพระสังฆราชองค์ที่ ๖ มาจากไหน บอกมาจากโพธิธรรม แล้วโพธิธรรมมาจากไหน ทางวิชาการนะด็อกเตอร์หมดเลยนะ ตอบไม่ได้น่ะ ก็บอกมาจากพระกัสสปะเว้ย

มหายานน่ะถือพระกัสสปะเป็นต้นสาย พระกัสสปะเห็นไหม พระพุทธเจ้าเทศน์โชว์ชูดอกไม้ดอกเดียว พระสารีบุตรไม่เข้าใจ พระกัสสปะยิ้มไง เขาเลยถือว่าพระกัสสปะเป็นต้นสายของเซนคือการรู้แจ้ง เราก็เลยย้อนกลับไง แล้วพระกัสสปะเห็นไหม

“กัสสปะเธอก็อายุปานเราอายุ ๘๐ เหมือนกันเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ทำไมเธอต้องถือธุดงควัตรด้วย ทำไมเธอต้องถือธุดงควัตรถือผ้าบังสุกุลด้วย แล้วสังฆาฯ ผ้าบังสุกุลไม่เอาคฤหบดีจีวรไม่รับของของใครไง ผ้าจีวรก็เก็บเศษผ้าปะ เศษผ้าปะจนหนาถึง ๗ ชั้น ๘ ชั้น อายุ ๘๐ แล้วกัสสปะเธอทำทำไม เธอก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน มันไม่มีกิเลสแล้วเธอทำทำไม”

“ข้าพเจ้าจะทำเพื่อเป็นคติตัวอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลังได้ถือเป็นคติแบบอย่าง ถ้าไม่มีแบบอย่างเลย อนุชนรุ่นหลังจะทำอย่างไร”

“เออ อันนี้เราเห็นด้วย”

ขอแลกเลย ขอแลกเอาสังฆาฯ ของท่านขอแลกกับของพระกัสสปะ

เราจะบอกว่าต้นสายของเขาน่ะถือธุดงควัตร ๑๓ พระกัสสปะได้เอตทัคคะทางธุดงควัตรต้นสายของมหายานนะต้นสายของเซน ไอ้สว่างโพลง สว่างโพลง ผู้สอนมาผู้ที่เขาจะได้มาเขาถือธุดงควัตรมา แล้วเขาทำของเขามา เขาเป็นพระอรหันต์แล้วเขาถึงพูดได้ใช่ไหม อย่างที่พระอรหันต์พูดน่ะสักแต่ว่าทุกอย่างสักแต่ว่าหมด อันนี้เป็นคำพูดของพระอรหันต์นะ

แต่เราเป็นปุถุชนพูดอย่างนั้นไม่ได้ สักแต่ว่า! สักแต่ว่า! คำว่าสักแต่ว่ามันไม่เป็นเอกภาพคือไม่มีความตั้งใจ สักแต่ว่าทำ ทำแบบสักแต่ว่าทำ ผลไม่มี อย่างพวกเราต้องทำเต็มตัว พอผลที่สุดแล้วเหมือนกับเรา เริ่มต้นหัดฝึกงาน เราทำงานจนเป็นแล้วพอทำงานเป็นแล้ว ทำงานเมื่อไหร่ก็คล่องตัวใช่ไหม

ถ้ายังทำงานไม่เป็นน่ะ เอองานนี้กูเป็นแล้วสักแต่ว่าทำ โอ๊ย สบายมาก มึงยังทำไม่เป็นเลย ไม่ได้ แต่คนที่พูดอย่างนี้ คนที่ถ้าสิ้นกิเลสแล้ว พระกัสสปะเป็นต้นสายของมหายาน ต้นสายของเซนยังถือธุดงควัตรใช่ไหม แล้วอาจารย์ของพระกัสสปะล่ะ อาจารย์ของพระกัสสปะ ก็พระพุทธเจ้า

แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนที่เราทำกันอยู่นี่ไง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติไง แม้แต่ต้นสายของเขานะก็ยังถือธุดงควัตรแล้วต้นสายมันมาจากไหน

เราย้อนมาหลวงปู่ดูลย์เลย หลวงปู่ดูลย์มาจากไหน หลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์นะเรายอมรับหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์เป็นอาจารย์ของเขา แล้วหลวงปู่ดูลย์มาจากใคร หลวงปู่ดูลย์ก็มาจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ไปฝึกกับหลวงปู่มั่นมา หลวงปู่มั่นเป็นคนสอนหลวงปู่ดูลย์ แล้วหลวงปู่มั่นสอนครูบาอาจารย์เรามา

ถ้าคิดแค่นี้..ด็อกเตอร์ เขาเป็นด็อกเตอร์ แล้วนี่เราเอาเหตุผลเข้ามา นี่เหตุผลทางวิชาการนะ แล้วเวลาเราเหตุผลทางสัจธรรมทางอริยสัจที่ว่าจิตจะสงบเข้าไปอย่างไร พอจิตสงบแล้วเริ่มต้นวิปัสสนาอย่างไร มันข้อมูลเขาผิดหมดน่ะ แล้วข้อมูลผิดหมดแล้ว นี่ไงเราถึงบอกใช่ไหม บอกว่ามันเป็นทางวิชาการแล้วสังคมไทยถ้าพูดถึงทางวิชาการยอมรับ ลั่นไปหมด

ต่อไปถ้าสังคมไทยนี่นะ ที่เขามาหาเราเป็นส่วนยอด เป็นผู้ที่มีปัญญาชนของชาวพุทธในศาสนาพุทธในประเทศไทย เพราะเขาจบปริญญาเอกแล้วเขากำลังทำทางวิชาการอยู่กับอาจารย์ที่สอนอยู่ที่มหามกุฎฯ มหาจุฬาฯ พวกนี้เขาเป็นวิชาการคือว่าในสังคมไทยปัญญาชนเห็นไหม เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยเรา

ในเมืองไทยพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เป็นปัญญาชนของประเทศ ก็เป็นคนชี้นำประเทศไทยใช่ไหม อันนี้ก็เป็นปัญญาชนของทางศาสนาของพุทธศาสนาในประเทศไทย แต่เขาดีอย่างหนึ่ง เพราะก่อนจะกลับเข้ามากราบทุกคน บอกมาหาหลวงพ่อนี่ได้ประโยชน์มากๆ ได้ประโยชน์มหาศาล

เพราะถ้าไปหาพระนะ พระที่อื่นเขาจะไม่..ประสาเราว่าเขาจะไม่ทันกัน ไม่ทันกันหมายถึงว่าเวลาทางนู้นเขาพูดทางวิชาการมา ไอ้เรานี่คิดไม่ทัน แต่เวลาเขาพูดทางวิชาการมานะ โอ้โฮ เราพูดหักเลย เราบอกว่าพอทางวิชาการให้เขาพูด พอเราพูดเขาจะฟังเราพูด

เราจะบอกว่า นกแก้วนกขุนทอง เวลาเจ้าของมันบอกสอนมันพูด “แม่จ๋า แม่จ๋า” แล้วให้กล้วยมันน่ะ เราบอกว่านกขุนทองมันนึกว่าแม่จ๋าคือกล้วยนะ แล้วก็ย้อนกลับมาที่พวกนี้เลย บอกพวกเอ็งได้ภาษามา เหมือนนกขุนทองน่ะเอ็งศึกษาพุทธศาสนาเอ็งได้ภาษามาแต่เอ็งไม่เข้าใจหรอกว่าพระพุทธเจ้าท่านปรารถนาอะไร ท่านพูดเรื่องอะไร มันจะกลับมา โอ้โฮ บอกคำนี้มัน หนูได้ภาษามา พวกหนูได้ภาษามา มันพูดอย่างนี้เลยนะ

ในพระไตรปิฎกมันเป็นตำราทำอาหาร มันจะมีอาหารจานใดบ้างที่ออกมาจากตำรานั้น เราถามเขา ตำราทำอาหารมันจะมีอาหารอะไรที่มันไหลออกมาจากตำราทำอาหารนั้นมีไหม พระไตรปิฎกเป็นวิธีการเข้าสู่มรรคผลนิพพาน แล้วมันจะมีมรรคผลนิพพานไหลออกมาจากพระไตรปิฎกนี้ไหม ไม่อย่างนั้นมันจะแบ่งทำไม

ปริยัติ ปฏิบัติ แต่ตามความเป็นจริงเขาก็อยากได้นะ เขาถึงถามเรื่องดูจิตมาไง เพราะดูจิตแล้วง่ายไง จริงๆ น่ะฝังใจเขาเยอะ เขาพยายามจะเถียงไง เรื่องดูจิต ก็ดูจิตกันทั้งนั้นล่ะ เราใส่เลย เราใส่เขา พอเวลาเราใส่เขา เราไม่ได้พูดว่าเขา เวลาเราจะใส่เขา เราบอกว่าสังคมไทย ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของสังคมไทยโดนหลอก โดยศาสนาของชาวพุทธนี่หลอก

ดูจิตอะไรดู แล้วอย่างที่เรายกตัวอย่างนะ อย่างเช่นตอนนี้ทางโลกเขาจะตื่นเต้นกันไอ้เรื่องสแกนกรรมนี้มาก เราบอกว่าการสแกนกรรมนี้มันเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ อย่างเช่นสมองร่างกาย เข้าคอมพิวเตอร์เข้าอุโมงค์ มันสแกนได้ แล้วการสแกนกรรมมึงเอาอะไรสแกน คำว่าสแกนกรรมพวกเราเชื่อถือกันเพราะเราคิดว่าการสแกนสมอง สแกนร่างกาย มันมีคอมพิวเตอร์สแกนใช่ไหม

เราก็คิดว่ามันเห็นภาพชัดเจนที่มันไม่หลอกลวง แต่การสแกนกรรมมึงเอาอะไรสแกน เขาก็อ้างว่า คนที่สแกนได้เขาตายแล้วเขาฟื้นมา เขาได้เรียนรู้วิชานี้มา ไอ้ห่าคนตายแล้วฟื้น กูนี่เยอะแยะเลย ลูกศิษย์กูนี่ตายแล้วฟื้นเยอะแยะ แล้วไม่เห็นมันได้อะไรมา ได้แต่ความหลอกลวงมา

พันเอก... ตายแล้วฟื้นเห็นไหม ชาวพุทธทำบุญต้องใส่น้ำเยอะๆ นะถ้าตายไปแล้วไม่ได้กินน้ำ ถามมันกลับว่าเทวดากินน้ำอย่างนี้เหรอเทวดามีร่างกายไหม เทวดาต้องกินน้ำอย่างนี้อีกหรือเปล่า คือเวลาเขาตายไป ไปตกอยู่ที่ใดเขาก็เห็นเฉพาะส่วน วัฏวนเห็นไหม ในนรกมันยังมีกี่ขุม ในภพของมนุษย์ ดูมนุษย์สิ มนุษย์น่ะทางโลกมีเท่าไร ในเทวดาแต่ละสถานที่

อย่างเช่นเรามาเห็นไหม เราเป็นมนุษย์ เราไปอยู่แถวริมทะเลหรือแถวชายทะเล เราจะเห็นเลยว่า โอ้โฮ สัตว์น้ำอาหารนี่เหลือเฟือเลย ลองไปอยู่ในป่าสิเอ็งจะเห็นอะไรก็เห็นก้อนหินน่ะ มันไปเห็นเฉพาะส่วนมา เห็นเฉพาะส่วนมาก็พูดเฉพาะส่วนนั้น นี่ก็เหมือนกัน สแกนกรรม สแกนกรรมมึงเอาอะไรไปสแกน

ถ้าคนมาหาเราถามหลวงพ่อเชื่อไหม เราถามว่าแล้วเครื่องมือที่สแกนคืออะไร จบ แต่นี้คำว่าสแกนกรรมเขาทำกันไปเราก็ไปเชื่อในผลที่มันเกิดจากการสแกนนั้นจริงไม่จริงไม่รู้เหรอคือเครื่องมือที่ทำไม่มี

ย้อนกลับมาที่ศาสนานี้ ย้อนกลับมาที่ศาสนานี้ พระที่พูดถึงมรรคผลนิพพาน เหตุที่เป็นเหตุจะที่สร้างสมาธิเหตุที่จะสร้างปัญญาอยู่ที่ไหน เหตุที่จะเป็นปัญญาขึ้นมาที่ว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากการภาวนา มันมาจากไหน แล้วมันมาอย่างไร แล้วทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นมา ตอบไม่ได้ พอภาวนาไปนะพอจิตสงบนิพพาน! นิพพาน! ไม่รู้พานของใคร

เราไม่เชื่อ! เหมือนสแกนกรรม สแกนกรรมต้องมีเครื่องมือแล้วเครื่องมือสแกนคืออะไร แต่ถ้าพระพุทธเจ้านะ อนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้า อดีต อนาคต นี่ๆ เครื่องมือ เครื่องมือ เครื่องมือของพระพุทธเจ้า เครื่องมือของหลวงปู่มั่นนะ รู้วาระจิตนี่ๆ เครื่องมือ ของจริงมันต้องมีเหตุเว้ย ของจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ของจริงมันจับต้องได้ทั้งนั้นน่ะ

ไอ้นี่พอไปถามเขาสิตอบกันไม่ได้ ถ้าของจริง ของจริงอธิบายได้เลย อะไรเป็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เห็น แล้วเห็นอะไร เห็นเพราะเหตุใด เห็นแล้วสิ่งที่เห็น ผลที่เกิดที่เห็นมันเป็นเพราะเหตุใด มันถึงเห็นอย่างนั้น แล้วเห็นอย่างนั้นแล้วมันจะให้ผลอย่างไร

พูดถึงศาสนามันเป็นของจริงนะ แต่ผู้ที่เข้ามาฝังมาในศาสนามันมีลับลมคมในกันมา แล้วผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติถ้าพูดถึงเราไม่จริง ศีลถ้าไม่บริสุทธิ์ ศีลเห็นไหมเวลาพูด เราพูดทุกคนหัวเราะหมด อ้าว ถือศีล ๕ ศีล ๕ ถ้าศีล ๕ ก็ขอนไม้นี่ไง ถือศีล ๕ มันต้องมีธรรม ๕ ไม่ฆ่าสัตว์มันต้องเมตตาสัตว์

ดูสิ อย่างเรา ไม่ทำผิดเลยอย่างชาวพุทธเรา โอ๊ย พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวาง เป็นคนดีหมดเลย แต่ดีแบบขอนไม้นะ ดีไม่ทำอะไรไง ว่าง อยู่บ้านว่างสบาย แล้วสบายได้อะไรขึ้นมา ไอ้ที่สบายๆ นี่นะมันเป็นผลนะเป็นวิบากนะ เป็นผลของมนุษย์สมบัติที่เราได้มานะ ที่เราเป็นมนุษย์กันอยู่นี่ เพราะเราสร้างบุญมาถึงได้เป็นมนุษย์นะ ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญมาเราจะไปเกิดในสถานะอื่นทุกข์มากกว่านี้

ทีนี้สิ่งที่เราได้มาเพราะบุญเก่ามันสร้างมา พอสร้างมาแล้วเราถือสิทธิของมนุษย์ มนุษย์เห็นไหม ดูสิ มีพ่อมีแม่มีเพื่อนมีฝูง ช่วยเหลือเจือจานกัน ผลอันนี้มันเป็นวิบากเป็นผลของกรรมดีกรรมชั่วมา แล้วต่อไปนี้เอ็งจะสร้างต่อไหม เอ็งจะทำต่อไปไหม

คือเหมือนกับเรา สิ้นเดือนนี้ สิ้นเดือนคือเงินเดือนออกมา เราคลอดมาเดือนหนึ่ง แล้วเดือนนี้เราจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หมดเดือนนี้มึงจะเอาอะไรใช้ ถ้ามึงจะทำต่อไปมึงก็จะมีเงินใช้ต่อๆ ไปไง แล้วสร้างคุณงามความดี กรรมดีจะอยู่กับเราไปไง

พูดถึงว่าสิ่งนี้ว่างๆ ว่างๆ สิ่งนี้เราทำมา เราเป็นคนดีแล้ว เป็นคนดีแล้วดีนี้คือดีจากผลที่เราได้ดีมา เราทำคุณงามความดีของเรามา มันถึงได้มาขนาดนี้ แล้วเราทำดีนี้ต่อไปล่ะ แล้วต่อไปเห็นไหม ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วพบพระพุทธศาสนา ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด

เวลาเทวดาอวยพรกันไง ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิดแล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราจะทำคุณงามความดีกันต่อไป แล้วบอกว่าเป็นคนดีแล้วน่ะทำไมต้องไปวัด

เมื่อวานก็เหมือนกันทำไมต้องไปวัดไปฟังธรรมไง โอ้โฮ เราบอกการฟังธรรม เมื่อวานมันคำถามมาปั๊บ มันออกเลยไง เราบอกเลยนะเหมือนคน เราปีนหน้าผา เห็นไหม ดูสิคนเขาปีนเขาหิมาลัย แล้วคนเขาหย่อนเชือกมาให้ คนเขาชี้ทางให้ เราระลึกนึกถึงคุณเขาไหม แล้วเวลาคนปีนหน้าผาไอ้พวกปีนเขามันยังเตรียมตัวพร้อมนะ

เวลาเราปฏิบัติขึ้นไปพอจิตมันวิปัสสนาไป มันพัฒนาการของมันขึ้นไป เหมือนกับเราไปอยู่ในที่ไต่เชือกเส้นเดียว ไปอยู่ในที่สูงนี่เราจะเอาตัวรอดอย่างไร วิปัสสนาต่อไปเป็นอย่างนั้น แล้วมีครูบาอาจารย์คอยเทศน์ ฟังเทศน์ เทศน์นี่เหมือนกับหย่อนเชือกมา หรือมีคนคอยเจือจานเรา เวลาเทศน์นะ

เพราะเวลาปฏิบัติไปปัญญามันหมุน มันจะเป็นอย่างนั้น มันเหมือนกับเราไปอยู่ในที่ที่อันตรายแล้วเราจะช่วยเตือนเราอย่างไร เหมือนที่ ภาวนาเป็นเหมือนที่อันตรายอย่างไร เพราะภาวนาไปนี่นะ เวลาจิตมันสงบ พอจิตมันสงบปั๊บจิตจับสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ได้ขึ้นมา อย่างเช่นเราต่อสู้กับเวทนา เราต่อสู้กับเหล่านี้อยู่ เราต่อสู้อยู่ เห็นไหม มันก็เหมือนกับเราอยู่ในที่ที่อันตราย

เพราะการต่อสู้นี้มีแพ้ แพ้คือเราตกจากเขา แต่คนตกแล้วมันตาย แต่จิตมันตกแล้วมันเสื่อมหมดไง วูบ! หายเกลี้ยงเลย ฮ้า! เสร็จอีกล่ะ เริ่มต้นใหม่ วูบ! โอย ไปล่ะ เริ่มต้นใหม่ แล้วมีอาจารย์หย่อนเชือกมา อาจารย์คอยประคองเรา นี่ไงฟังธรรมไง

หลวงตาถึงบอกเห็นไหม หลวงปู่มั่นเวลาเทศน์ นิพพานเหมือนหยิบเอาได้เลยนะ พอหลวงปู่มั่นเทศน์จบนะโอย ฟ้ามืดเลย นิพพานหาไม่เจอ นี่ไง เขาถามว่าทำไมต้องไปฟังธรรม ฟังธรรมแล้วได้ประโยชน์อะไร เราถึงบอกว่าคนไม่เคยภาวนานะ คนไม่เคยต่อสู้กับวิกฤติในตัวเองนะจะไม่เข้าใจอะไรเลย

แต่คนที่เขาวิปัสสนา คนที่เขาต่อสู้ จนใจเขาเป็นมีภูมิมีวุฒิภาวะขึ้นมา เขาจะซึ้งครูบาอาจารย์เขาจะนับถือกันด้วยหัวใจมาก เหมือนเรานี่อยู่ในที่วิกฤติแล้วมีคนเจือจานคนช่วยเราดึงเราขึ้นน่ะ แต่ถ้าเรายังไม่ถึงตรงนั้นเห็นไหม เราก็บอกถ้าเรายังไม่ถึงตรงนั้น เหมือนคนป่วย โรคบางชนิดไม่ต้องรักษาก็หาย โรคบางชนิดไม่รักษาไม่หาย

ไอ้นี่โรคกิเลสไม่มีหายหรอก ไม่ใช่ไม่มีหายอย่างเดียวนะมันวางยามึงด้วย กิเลสเรานี่วางยาเราเวลาเราปฏิบัติน่ะ จะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น โอ๊ย ปล่อยวางแล้ว มันหลอก มันบังเงาไง เหมือนเรากำลังทำงานชิ้นหนึ่ง ทำยังไม่ทันเสร็จน่ะ มันบอกอย่างนี้ๆ เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว เราก็เชื่อ ปล่อย เดี๋ยวก็เสื่อม กิเลสมันจะบังเงาตลอด คนไม่เคยภาวนาจะไม่รู้ คนภาวนาจะรู้ตรงนี้

มันจะบอกว่า นี่ไงอย่างนี้เป็นโสดาบัน อย่างนี้ว่างสบาย มันให้มึงสบาย มันปูเสื่อให้นอนสบายเลย ถ้าเราเชื่อใจ โอ้โฮ ใช่นิพพานจริงๆ เห็นไหม แล้วมันนอนสบายน่ะ สักพักเดี๋ยวเสื่อม กิเลสขัดขวาง กิเลสวางยา กิเลสจะหลอก จะหลอกไปอย่างนี้ตลอดไป ทุกๆ ดวงใจเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าผู้ที่ปฏิบัติมีวุฒิภาวะ โดยไม่เชื่อมัน

หลวงตาท่านพูดเห็นไหม หลวงตาท่านพิจารณาอสุภะ พิจารณาอสุภะๆ จนมันหายหมดว่างหมดเลย ว่างหมดเลยนะ ท่านบอกอย่างนี้ไม่เอาเพราะมันไม่มีเหตุไม่มีผล ท่านเลยไปเอาสุภะไปแนบไว้ ๓ วันอย่างที่ว่า เห็นไหม ถ้าเป็นอย่างพวกเราว่างหมดเลย โอ ใช่แล้ว! ใช่! ใช่แน่นอนเลย แล้วก็รอวันเสื่อมอย่างนั้นน่ะ

นี่ยังดีมากเลยท่านมีวุฒิภาวะ ท่านบอกว่ามันไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างนี้ไม่เอา เราไปเอาสุภะ สุภะไปเอาที่สิ่งที่จิตมันชอบที่สวยงามที่สุดมาแนบกับจิตไว้ เดินจงกรมอยู่ ๓ วัน ๓ วันนะแนบไว้อย่างนั้นน่ะ พอวันมันมีสุภะสิ่งที่สวยงามที่มันถูกใจมันน่ะมันก็รับรู้

อันนี้ท่านเรียกว่ากระเพื่อม กระเพื่อมคือมันไหว ไหวว่าไอ้นี่ดี นี่ไงๆ ไหนว่าไม่มีไง นี่ๆ โอ้โฮ ท่านใส่เลย พอใส่ปั๊บ การวิปัสสนาต่อไปจากนี้ไปท่านบอกเลยนะ บางคราวก็เอาอสุภะเข้ามาพิจารณา บางคราวก็เอาสุภะเข้ามาพิจารณา เพราะอสุภะอย่างเดียวมันไปหน้าเดียว บางคราวก็เอาอสุภะคือว่าตั้งเป็นรูปกายพิจารณาไป

มันจะเปื่อยมันจะเน่า มันจะเฟะฟอนขนาดไหนนี่อสุภะ บางคราวต้องเอาสุภะคือเอารูปที่สวยๆ เข้ามาพิจารณา ให้มันได้สลับกันเพื่อไม่ให้จิตมันหนี ไม่ใช่ว่าต้องอสุภะ ต้องอสุภะ ต้อง โอ้โฮ ต้องเอาสิ่งที่เน่ามันสุดส่วนมันตกไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เวลาท่านพูด เราฟังน่ะซึ้งมากเลย เพราะคนที่ภาวนาทุกคน! ทุกคน! ทุกคนที่ภาวนามาโดนหลอกทุกคน! ทุกคน!!! เพราะทุกคนมีกิเลสเหมือนกันหมด เพียงแต่มันจะหลอกแง่ใดเท่านั้นเอง มันต้องมีแง่ใดแง่หนึ่งที่หลอกเรา

เพราะกิเลสมันเป็นกิเลส มันเป็นพญามารในหัวใจเรา มันต้องพยายามปกป้องตัวมันจนถึงที่สุด ไม่มีทางที่มันจะให้เราชำระมันได้ง่ายๆ หรอก แต่พวกเราเข้าใจว่าเราปฏิบัติธรรม เราทำคุณงามความดีกันแล้ว โอ้โฮ ความดีจะส่งเสริมเราเต็มที่เลย มึงรอไปเถอะ คนเป็นแล้วถึงจะรู้ คนไม่เป็นไม่รู้

ทีนี้ย้อนกลับมาที่พระที่ว่า พระที่ว่าแม้แต่ แม้แต่พฤติกรรมของเขา คำพูดยังไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย ถ้าคนที่คำพูดไม่อยู่กับร่องกับรอย มันจะจริงจัง มันจะปฏิบัติอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ขนาดที่เราจริงจังขนาดนี้นะ คนที่ดูอย่างเช่นอาจารย์สิงห์ทอง

อาจารย์สิงห์ทองท่านเป็นคนที่จริงจังมาก แต่เวลาท่านชอบพูดเล่น คำพูดเล่นคือนิสัยภายนอก แต่ความจริงในหัวใจท่านท่านเป็นคนจริงจังแล้วเดินจงกรมนี่หลวงปู่เจี๊ยะชมมาก เดินจงกรมจนทางนี่เป็นเหวเลย แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือว่าท่านเป็นคนจริงจัง แต่นิสัย นิสัยภายนอกกับนิสัยภายใน นิสัยภายในท่านจะจริงจังมาก แต่นี้ถ้าเป็นพระหรือเป็นพวกนักปฏิบัติ ข้างนอกก็ไม่จริงจัง ข้างในก็ไม่จริงจังมันก็เลยยิ่งเหลวไหลไปใหญ่เลย

แต่พูดถึงประสาเราเลย อย่างของเรา เราว่าเรามันคนตรงเกินไป เรานี่เพราะข้างในข้างนอกมันเหมือนกัน อย่างนี้ พูดอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างนี้ พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น เรานี่นิสัยนะรู้ตัวเองเพราะเราสังเกตตั้งแต่ตอนปฏิบัติมา ในทางธรรมะเขาบอกว่าถ้าเอ็งทำสมาธิได้หรือทำปัญญาได้อย่าพูด

ถ้าพูดออกไปแล้วทุกคนจะกังวลว่าเราพูดจะถูกหรือผิดแล้วทำให้จิตนี้เสื่อมได้ง่าย แต่สำหรับเรานะถ้าเราพิจารณาของเราแล้วนะ เราบอกใครว่ามันเป็นสมาธิอย่างนี้เป็นปัญญาอย่างนี้ ถ้ามันเคลื่อนจากนั้นแสดงว่าเราโกหก เราถึงถ้าเราต้องทำอย่างนั้นได้แล้วเราพูดไปแล้วมันต้องอยู่อย่างนั้น

เราพูดอะไรแล้วไม่ค่อยเสื่อม แต่ไอ้เรื่องโดนหลอกเวลาที่ก่อนจะได้มันจะหลอก หลอกหมายถึงว่าได้ผลแล้ว ไอ้คำว่าได้ผลแล้วโดนมาเยอะมาก เป็นขั้นนั้นๆ ขั้นนั้นน่ะ แล้วเอาเข้าจริงๆ พอเป็นแล้วปั๊บนะ พอจิตเรามีปัญหาปั๊บแล้วเราจะมาค้นของมัน อ้าว มันไม่ครบองค์ประกอบนี่หว่า ไอ้นั่นก็ยังมีไอ้นี่ก็ยังมี มีอย่างนั้น อย่างนี้มันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็สู้กันใหม่ สู้กันใหม่ๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ

จนถึงที่สุดนะพอ เพียะ! เพราะเรามีพื้นฐานอย่างนี้มา พื้นฐานอย่างนี้เพราะเราปฏิบัติมามีพื้นฐานมาแล้ว แล้วพอไปอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะถึงพูดกับเราไง

“ไอ้หงบ มึงน่ะจำของท่านอาจารย์ใหญ่มา”

แล้วทำอย่างไรล่ะ ถ้าเอ็งจะทำจริงเอ็งต้องพิจารณากายได้ เราก็พิจารณากายซ้ำไง พอพิจารณากายซ้ำปั๊บพอกายมันละลายหมดเห็นไหม เราพิจารณากายนะนั่งอยู่ท่านี้ นั่งอยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ เพราะตอนนั้นทำวัตร ทำวัตรท่านเป็นคนพาทำวัตร ทำวัตรเสร็จท่านก็หันหน้ามานั่งตรงข้ามอย่างนี้ ท่านก็นั่งภาวนา เราก็นั่งภาวนาอย่างนี้ พอออกจากภาวนามา

“ไอ้หงบทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ไอ้หงบทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”

ท่านก็จี้ตลอดจี้ตลอดน่ะ แล้วท่านให้ทำเราก็สร้างไง พอจิตสงบแล้ว คำว่าสร้างพูดอย่างนี้ เหมือนกับสมมุตินะ พอจิตสงบแล้วมันเป็นการรำพึง เป็นแบบที่โครงกระดูกที่เขาแขวนไว้ แล้วเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาเป็นวิภาคะ มันละลายลง เป็นโครงกระดูกนี่นะ มันละลายลงแบบน้ำแข็งเลย ปื้ด! ลงไปหายหมดเลย พอมันละลายลงไปปั๊บ เราก็วิ่งมาหาเลย

“หลวงปู่ๆ มันละลายหมดเลย”

ท่านถาม “แล้วมันเหลืออะไรล่ะ”

โอย หงายท้องตึงเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเคยมีพื้นฐาน ถ้าเราไม่มีพื้นฐานอย่างนั้นมานะ เราเถียงหัวชนฝาเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนี่มันนักเถียงอยู่แล้ว แต่เพราะมันรู้มันมีพื้นฐานมา พอท่านบอกว่าเหลืออะไรล่ะ แล้วมันเหลืออะไร โอ้โฮ หันหัวกลับเลยกูไปทำต่อ กูไปทำใหม่ (หัวเราะ)

คนภาวนามามันมีพื้นฐานที่ว่า เดี๋ยวมันหลอกอย่างนั้นเดี๋ยวมันหลอกอย่างนี้ คือตัวเองน่ะเคยโดนหลอกมาเต็มที่อยู่แล้ว แล้วพอมาทำทางนี้ปั๊บเพราะมันละลายลงต่อหน้า เราเห็นต่อหน้าเลยนะ จากโครงกระดูกนี่มันละลายลงไป ละลายลง หวื้ด ออกไปหมดเลย หมดเลยมันก็ “อืม ใช่แล้วเว้ย” วิ่งมาหาท่าน ท่านบอก “ไม่ใช่” ท่านถามว่า “มันเหลืออะไร”

คือว่ามันเห็นโดย.. ธุรกิจเห็นไหม มีผู้ซื้อผู้ขาย แลกเปลี่ยน นี่เราไปเห็นเขา แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะพอละลายลง ฟ้าบ! จิตมันปล่อย พอจิตมันปล่อยน่ะเห็นไหม ยถาภูตัง ยถาภูตังคือรู้เข้าใจหมดแล้ว กระบวนการของมันเข้าใจหมดเลย ญาณทัศนะ เหลืออะไร ยถาภูตังญาณทัศนะญาณทัศนังรู้อีกชั้นหนึ่ง โอ หลายซับหลายซ้อน พระพุทธเจ้านี่พูดไว้ถูกต้องหมดเลย กระบวนการของมัน

หลวงตาถึงได้พูดเห็นไหม เวลาพิจารณากายน่ะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตนี้รวมลงแยกออกเป็นสามทวีป แยกออกเลย แต่ถ้าเป็นกระบวนการของมันเห็นไหม ยถาภูตังเกิดญาณทัศนะเกิดการรู้เกิด โอ้โฮ อันนี้คนไม่เป็นน่ะปล่อยแล้วแยกแล้ว แล้วมันเหลืออะไรน่ะ มันเหลืออะไร

หลวงตาท่านบอกไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้ถามไม่ได้แล้วไม่รู้ตอบไม่ได้ แต่กระบวนการในปฏิบัติเดี๋ยวนี้พูดอย่างนั้นหมด พิจารณากายปล่อยกายโสดาบัน พิจารณาปล่อยกายเป็นสกิทา พิจารณากายปล่อยกายเป็นอนาคา แล้วพยายามจะมาพูดให้เรายอมรับ เราไม่เชื่อ นี่เราบอกกระบวนการ ดูอย่างกีฬาเราเข้าใจเทคนิคเข้าใจทุกอย่างมาหมดเลย แต่เราทำแต้มไม่ได้มันจะชนะได้ไหม

เวลาภาวนาขึ้นมานี่ โอ้โฮ รู้เห็นไปหมดเลยนะ จิตเป็นอย่างนั้น ตามสภาวะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แล้วเอ็งได้อะไรมา มันก็เหมือนเราทำงานของเราแต่มันไม่จบ กระบวนการมันไม่จบ ถ้ากระบวนการมันจบ เขาเรียกกระบวนการมันจบเขาเรียกขณะจิต ขณะจิตที่มันเปลี่ยนเห็นไหม ขณะจิตที่โสดาบัน ขณะจิตจากโสดาบันเป็นสกิทา ขณะจิต

ขณะจิตคือกระบวนการที่สิ้นสุด สิ้นสุดกระบวนการนั้นเป็นอกุปธรรม กระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุดน่ะเป็นกุปธรรมคือ สัพเพธัมมาอนัตตา สภาวะ สภาวะที่มันยังพัฒนาการกันอยู่ ฉะนั้นเวลาเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคาน่ะเป็นสภาวะ เราไม่ฟังเลย ไม่ใช่ สภาวะ สภาวะเห็นไหม สภาวะมันเปลี่ยนแปลง

แต่ความจริงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โสดาบันเป็นโสดาบัน สกิทาเป็นสกิทา อนาคาเป็นอนาคา พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ก่อนที่มันจะถึงมันต้องมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงระหว่างเปลี่ยนแปลงจากโสดาบันเป็นสกิทา ระหว่างการเปลี่ยนแปลงจากโสดาบันเป็นสกิทาคาเปลี่ยนแปลงอย่างไร

กระบวนการของมันทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงขึ้นไป กระบวนการถึงที่สุดแล้วไง ที่สุดแล้วกระบวนการถึงที่สุดแล้ว อกุปธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่พัฒนาการสูงขึ้นไปได้ ทีนี้พัฒนาการสูงขึ้นไปได้ เป็นสติ มหาสติ มหาปัญญา แล้วมันจะไล่กระบวนการของมันขึ้นไป

ทีนี้ยิ่งพระยิ่งผู้ปฏิบัติยิ่งสูงขึ้นดีขึ้น สูงขึ้นดีขึ้นน่ะ โอ้โฮ สุดยอดมากเลย ยิ่งสูงขึ้นดีขึ้น จิตมันพัฒนาขึ้น แล้วเวลาพูดธรรมะออกมา มันไม่มีกระบวนการอย่างนั้นนะ มันเป็นผลอย่างเดียว ผลอย่างเดียว ฟังไม่ขึ้น ทีนี้ฟังไม่ขึ้น ถ้าพูดอย่างพวกนั้นมาเห็นไหม ฟังไม่ขึ้นน่ะ เราที่ว่าเราเหน็บไปแรงมาก เหน็บไปแรงมาก

พอเขากลับไป แต่เขาถามเลยว่าฉันตอนไหน ฉันอย่างไร คือจะมาว่าอย่างนั้นเถอะเขาได้เยอะมาก ได้เยอะมากเพราะเขาเปิดใจมามันดีอย่างหนึ่ง เขาก็บอกว่าคนที่บอกเขามาคือเขามาที่นี่แหละเขาเรียนด็อกเตอร์ด้วยกัน ก็ไปบอกเขา บอกว่าขอร้องนะให้ไปพบพระองค์นี้ ขอร้องให้ไปพบพระองค์นี้ขอร้องแล้วไป

คือว่าเขาคงจะไปบอกกันไว้มาก ทีนี้พอเขามา เขาอ้างคนนั้นปั๊บเราก็ใส่เลย เพราะอย่างที่เราพูดเมื่อกี้นี้ เพราะเราเห็นว่ากระบวนการอย่างนี้ เขาบอกว่า เขามาที่วัดโพธิ์ มาทำงาน เรารู้ สังคมไทยสุดยอดของสังคมไทยอยู่ตรงนี้ ผู้จะชี้นำสังคมไทยให้ไปทางซ้ายทางขวาอยู่ตรงนี้ เราถึงใส่เปรี้ยงๆ

เราใส่เพื่อสังคมไทยนะสังคมชาวพุทธน่ะเราไม่ได้ใส่เพื่อเรา คือให้เขาปรับกระบวนความคิดของเขา ถ้าเขาจะชี้นำสังคมให้กระบวนความคิดของเขาอย่างไรก็ให้เขาถึงเนื้อหาสาระบ้าง ใส่ ใส่เข้าไป เพราะเขามีอย่างนั้นใช่ไหม แล้วนี่เขาพูดถึงการปฏิบัติ แล้วในการปฏิบัติต่อไปถ้าเขามา หรือว่าเขามาเขาพยายาม

เพราะพวกนี้เขาอยากจะเผยแผ่ธรรมทางวิชาการไง เขาต้องเข้ามาแน่นอน แล้วถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง ถ้ามันเป็นจริงได้เห็นไหม ความจริงพูดถึงเราคิดของเรานะถ้าเป็นทางวิชาการพวกเราทำได้ทั้งหมดใช่ไหม แต่ทำไมเราทำกันไม่ได้ล่ะ ทางวิชาการมันเขียนออกมา

อย่างที่ว่าเวลาพูดถึงสมาธิเห็นไหม ให้ลงคะแนนให้ทำ มันไม่ใช่หรอกสมาธิมันเป็นที่นี่ ปัญญามันเป็นที่นี่ แล้วถ้ามันรู้จริงขึ้นมา ทางวิชาการเขาจะบอกเลยล่ะ ถ้าทางวิชาการเป็นได้เราควรจะสร้างบุคลากรกันไว้ แต่บุคลากรน่ะสร้างขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ

ทางวิชาการนะ มันต้องทบทวนต้องมีตำราไว้คอยเปิดมันลืมไง แต่ถ้ามันปฏิบัตินะ อริยสัจไม่มีวันลืม อริยสัจมันไหวตัวเป็นอริยสัจตลอดนะ มันรู้ตัวตลอดเวลาใครถามเมื่อไหร่ เผลอๆ ถามก็ตอบ ผลัวะ! เลย หลวงตาท่านบอกเลยนะ เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น ถ้าพูดถึงเรื่องการงานในวัดอย่างลูกกับพ่อน่ะ โอ้โฮ พูดกันนุ่มนิ่มเลยนะ

แต่พอหาธรรมะแล้วนะ ผลัวะ! กระเด็นเลยล่ะ ถ้าพูดถึงอริยสัจไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ข้อเท็จจริงมีอันเดียว แต่ความเป็นอยู่นิสัยใจคอไม่เป็นไร โอ๋กันไปโอ๋กันมาแต่ก็พอเข้ามาเรื่องนี้นะ ผลัวะ! ผลัวะ! ทันที มันมีหนึ่งเดียว นี่เราถึงให้ให้เพื่อประโยชน์ พูดถึงเวลาเป็นอย่างนี้ถ้าพระมันดีขึ้นมาจะดีนะ ไม่ดีก็เรื่องของเขาแล้วเนาะ เอวัง